Health

  • ปวดหัว เป็นๆ หายๆ เกิดจากอะไร
    ปวดหัว เป็นๆ หายๆ เกิดจากอะไร

    ปวดหัว เป็นๆ หายๆ เกิดจากอะไร

    ปวดหัว เป็นอาการที่มีสัดส่วนมากที่สุดที่คนจะเข้าพบแพทย์ที่โรงพยาบาล สาเหตุอาจจะเกิดจากการดำเนินชีวิตในสังคมสมัยใหม่ที่เปลี่ยนไป ทุกคนต่างเร่งรีบ อาจมีความเครียดและอดนอน แต่อาการปวดไม่ได้เกิดจากแค่ความเครียดหรืออดนอนก็ได้ อาจจะเป็นอาการนำของโรคอันตราย พิการหรือเสียชีวิตก็ได้ อาการปวดหัวเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย ส่วนมากจะพบในวัยทำงาน วัยกลางคนจนกระทั่งไปถึงผู้สูงอายุ และแต่ละช่วงอายุสัดส่วนของโอกาสน่าจะเป็นโรคต่างๆ ก็แตกต่างกัน เช่น ในวัยทำงานอาจจะเจอโรคที่ไม่อันตราย วัยสูงอายุขึ้นไปจะเจอโรคอันตรายมากกว่า 

    ปวดหัว อาการโดยทั่วไปเรามักแบ่งโรคเป็น 2 กลุ่ม

    1. กลุ่มที่ไม่มีรอยโรคในสมอง ศีรษะ หรือ คอ (Primary Headache) 

    กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่ร้ายแรงมักปวดเป็นๆ หายๆ ช่วงหายจะหายสนิท ได้แก่ ไมเกรน , ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัว (Tension – type Headache ) ,ปวดศีรษะคลัสเตอร์ (Cluster Headache) เป็นต้น

    • ไมเกรน (Migraine)

    เป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้บ่อยในคนอายุน้อยถึงวัยกลางคน มักปวดศีรษะขมับข้างใดข้างหนึ่ง ร้าวไปกระบอกตา หรือท้ายทอยได้ ปวดลักษณะตุบๆตามจังหวะชีพจรและมักปวดมากขึ้นหลังทำกิจวัตรประจำวัน มีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วยได้ ไม่ชอบแสงจ้าหรือเสียงดัง ระยะเวลาที่ปวดแต่ละครั้งประมาณ 4 ชั่วโมง ถึง 3 วัน

    สาเหตุ  – เชื่อว่ามีการขยายตัวของหลอดเลือดที่อยู่ชิดกับเยื่อหุ้มสมอง หลังจากที่ได้รับการกระตุ้น ซึ่งได้แก่

    (1) ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในผู้หญิง เช่น ช่วงใกล้ประจำเดือน

    (2) อาหาร เช่น กาแฟ ช็อคโกแลต ชีส แอลกอฮอล์

    (3) การไม่สบายของร่างกายและจิตใจ เช่น นอนไม่พอ ทานอาหารไม่ตรงเวลา

    (4) สิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นฉุน

    • ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัว (Tension-type Headache) 

    เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดมักปวดมึนศีรษะเหมือนมีอะไรมารัดรอบศีรษะ บางคนร้าวลงต้น คอ บ่า สะบัก

    สาเหตุ – ส่วนใหญ่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียด

    • ปวดศีรษะคลัสเตอร์ (Cluster Headache) 

    พบได้บ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี มีลักษณะพิเศษ ได้แก่ ปวดศีรษะข้างเดียวบริเวณรอบ หรือ หลังเบ้าตาร้าวไปขมับเหมือนมีอะไรแหลมๆแทงเข้าตา ปวดมากจนรู้สึกกระสับกระส่าย ระยะเวลา 15 นาที – 3 ชั่วโมง ใน 1 วัน เป็นได้หลายครั้งและมักปวดเป็นเวลาเดิมของทุกวันติดต่อกันเป็นสัปดาห์ถึงเดือน พอหายปีนี้ ปีหน้าก็อาจปวดในช่วงเดือนใกล้เคียง

    มีอาการร่วมทางระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ลืมตาลำบาก ตาบวม ตาแดง น้ำตาหรือน้ำมูกไหล ม่านตาหดเล็กลง ซึ่งเป็นข้างเดียวกับที่ปวด

    สาเหตุ –  เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับสมองส่วนที่ควบคุมเวลาของร่างกายที่ชื่อ Hypothalamus ทำงานผิดปกติ ทำให้เส้นประสาทสมองที่ 5 ซึ่งทำหน้าที่รับความรู้สึกของใบหน้าพร้อมทั้งระบบประสาทอัตโนมัติและหลอดเลือดข้างคียงเกิดการเปลี่ยนแปลง

    • กลุ่มอาการออฟฟิศ (office syndrome) โรคปวดหัวที่พบบ่อยที่สุด

    โรคปวดหัวที่พบบ่อยที่สุดในขณะนี้คงหนีไม่พ้นสาเหตุที่เกิดขึ้นจากการทำงาน ที่เรียกว่า กลุ่มอาการออฟฟิศ (office syndrome)

    สาเหตุ – เกิดขึ้นจากการใช้สายตาทำงานหนัก ใช้โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คุยกัน  ดูหนัง ฟังเพลง ติดต่อกันเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมงทำให้เกิดอาการปวดหัว ตั้งแต่น้อยๆ ได้แก่ ปวดตึง ท้ายทอย คอ บ่า ไหล่ ไปจนถึงอาการปวดที่มาก คือชามือ ปวดหลัง ชาขาก็มี

    ต้องยอมรับว่า คนที่ใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ไม่มีใครเลยที่นั่งตัวตรง ส่วนใหญ่จะนั่งตัวเอียง พับขา เป็นเวลาหลายชั่วโมงบางคนกลับมาบ้านยังใช้อุปกรณ์เหล่านี้อีก ทำให้นอนดึก แต่ต้องตื่นเช้า พักผ่อนน้อย กล้ามเนื้อเกิดอาการหดเกร็งเป็นเวลานาน หลายคนที่มีอาการปวดหัวหลายเดือนทำให้กังวลว่าจะเป็นเนื้องอกในสมอง ไปพบแพทย์ตรวจคอมพิวเตอร์สมองก็ปกติดี แต่อาการปวดหัวไม่ดีขึ้น รับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอลก็ไม่หาย

    วิธีรักษา
    การรักษาอาการปวดหัวไม่ยาก เพียงแต่ใน 1 ชั่วโมงของการทำงานให้พักสายตาสัก 5 นาที หรือลุกจากเก้าอี้ไปยืดเส้น ยืดสาย ก็จะไม่เกิดอาการปวดนี้ ฟังดูเหมือนง่าย แต่โดยความเป็นจริงมักจะละเลยเพราะทำงานติดพันบ้าง งานด่วนต้องรีบทำให้เสร็จบ้าง

    2. กลุ่มที่มีรอยโรคในสมอง ศีรษะ หรือ คอ (Secondary Headache) 

    เช่น เนื้องอกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หลอดเลือดสมองโป่งพอง หลอดเลือดอักเสบ เลือดออกในสมอง กระดูกคอเสื่อม ต้อหิน โพรงไซนัสอักเสบ เป็นต้น

    สำหรับปวดหัวกลุ่มอันตรายสามารถสังเกตได้คือ

    1. อาการปวดหัวนั้นค่อนข้างเร็วและแรง เช่น ภายใน1 นาที จากไม่ปวดเลยกลายเป็นปวดมากเหมือนหัวจะระเบิด แบบนี้มองว่าอันตรายไว้ก่อน เช่น อาจจะมีเลือดออกในสมองได้
    2. สำหรับคนที่ไม่เคยปวดศีรษะเลย อยู่ๆ ก็ปวด หลังอายุ50 ปี ก็จัดว่าอันตราย เพราะกลุ่มโรคที่ไม่อันตราย อย่างไมเกรน เทนชั่น คลัสเตอร์ ส่วนมากจะมีอาการปวดอยู่บ้างในอายุก่อน 50 ปี
    3. สำหรับคนที่เคยปวดอยู่บ้างแล้ว เป็นรูปแบบซ้ำๆ เดิม แล้วอยู่ๆ รูปแบนั้นได้เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี เช่น ความรุนแรงมากขึ้น ตำแหน่งที่ปวดเปลี่ยนไป  หรือระยะเวลานานขึ้น หรือบางทีหลับๆ อยู่แล้วถูกปลุกจากความปวด ให้ต้องตื่นขึ้นมา เหล่านี้เป็นรูปแบบที่เปลี่ยนไปค่อนข้างอันตราย
    4. ถ้ามีอาการร่วมทางระบบประสาท เช่น อยู่ดีๆ อ่อนแรง เห็นภาพซ้อน หูอื้อ พูดไม่ชัด เดินเซ หรือคอแข็ง จัดว่าอันตรายไว้ก่อน
    5. สำหรับคนผู้มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคประจำตัวประเภทภูมิคุ้มกันต่ำ ก็อาจจะต้องสงสัยปวดศีรษะอันตรายไว้ก่อน เช่น บางคนเป็นSLE ทานยากดภูมิอยู่ แล้วปวดหัวขึ้นมา ก็ต้องสงสัยไว้ก่อน ว่าอาจจะมีติดเชื้อแทรกซ้อนได้ เหล่านี้เป็นวิธีสังเกตของกลุ่มอันตราย โรคก็มีหลากหลาย ตั้งแต่ก้อน หลอดเลือดสมองตีบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หากปวดแล้วนอนไม่ได้ ให้สงสัยว่าอันตรายไว้ก่อน เพราะกลุ่มที่ไม่อันตรายส่วนมากการนอนจัดเป็นปัจจัยปกป้อง ทำให้อาการปวดดีขึ้นด้วยซ้ำ

    ปวดหัว

    ตำแหน่งของอาการปวดหัว

    ส่วนมากแพทย์จะถามปวดตรงไหนบ้าง ลักษณะเป็นอย่างไร การดำเนินโรคเป็นอย่างไร ตำแหน่งที่ปวดช่วยอย่างไร เช่น

    • เบ้าตา ต้องดูว่าปวดที่เบ้าตาไหน ถ้าปวดที่เบ้าตาอย่างเดียวก็อาจจะเป็นโรคต้อหินก็ได้ หรือบางทีจะเป็นคลัสเตอร์ก็ได้ หรือจะเป็นไมเกรนก็ได้
    • หน้าผาก ขมับ ท้ายทอย กลางกระหม่อม ก็เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่คนไข้อาจจะต้องสังเกตแล้วบอกแพทย์ให้ได้ เพื่อช่วยในการวินิจฉัย
    • หลายๆ คน มีอาการปวดบริเวณท้ายทอย ในส่วนนี้สามารถเป็นได้หลายโรค ไมเกรนบางทีก็ปวดท้ายทอยได้ กล้ามเนื้อยึดตึงก็ปวดท้ายทอยได้ โรคของกระดูกคอเสื่อมก็ปวดท้ายทอยได้ หรือแม้แต่โรคของก้อนเนื้องอกในสมอง ก็ปวดท้ายทอยได้ นอกจากตำแหน่งเราก็ใช้อาการร่วมอื่นๆ เช่น ลักษณะการดำเนินโรค ทำอะไรแล้วดีขึ้น แย่ลง แล้วก็ตรวจร่างกาย

    บางโรคก็ปวดทั้งศีรษะหรือปวดเฉพาะจุด แต่ถ้าคนไข้สังเกตได้ การวินิจฉัยโรคก็จะง่ายขึ้น ถ้ามีอาการบ่งไปทางอันตราย ก็จะสแกนสมอง เพื่อยืนยันว่ามีอะไรผิดปกติในสมองหรือเปล่า หรือกรณีที่ลักษณะแบบฉบับคล้ายกับเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เช่น มีไข้ ปวดหัวทั่วๆ ไป คลื่นไส้ อาเจียน แล้วก็คอแข็ง อันนี้อาจจะสงสัยเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ก็อาจจะต้องเจาะตรวจน้ำไขสันหลังเพื่อนำ ไปวิเคราะห์อีกที

    สมมติว่า สงสัยไปทางเลือดออก อาจจะเลือกเป็น CT สมอง ซึ่งจะเห็นชัดกว่า แต่ถ้าต้องการเก็บรายละเอียด เช่น สงสัยไปทางพวกก้อน เนื่องงอกในสมองหรือสมองขาดเลือด เราก็อาจจะเลือกเป็น MRI เพราะเราสามารถดู MRA คือดูหลอดเลือดแดงได้ด้วย หรือถ้าสงสัยหลอดเลือดดำตีบตัน ก็ทำให้เกิดการปวดหัวได้ เราก็จะตรวจ MRV หรือ magnetic resonance venography พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าสงสัยแค่เลือดออกเราก็ทำแค่ CT สมอง ถ้าต้องการดูรายละเอียดของโรคปวดหัวอื่นๆ ร่วมด้วย ก็จะเลือกเป็น MRI แล้วก็ดู MRA หรือ MRV ไปด้วย

    ลักษณะของการดำเนินโรค แบ่งออกเป็น 3 แบบ ง่ายๆ

    1. ตุบๆ คล้ายๆ ตุบ ตุบ ตุบ เป็นตามจังหวะหัวใจเต้น บ่งไปโรคอะไรบ้าง เช่น โรคหลอดเลือด ไมเกรนก็ได้
    2. แหลมๆ จี๊ดๆ แทงๆ อันนี้อาจมีโอกาสเป็นโรคปลายประสาทอักเสบ
    3. บีบรัดตึงๆ แบบเอาอะไรมาบีบไว้ที่ศีรษะ อันนี้บอกได้ค่อนข้างยาก เป็นได้ตั้งแต่กล้ามเนื้อยึดตึงธรรมดา ไปจนถึงก้อนเนื้อในสมองก็ปวดแบบนี้

    ส่วนระยะเวลาดำเนินโรค

    ส่วนระยะเวลาดำเนินโรค ก็สำคัญเหมือนกัน กลุ่มโรคที่ไม่อันตรายส่วนมาก การดำเนินโรคก็จะเป็นๆ หายๆ และมีช่วงหายสนิทเกิดขึ้น ระยะเวลาของแต่ละโรคก็จะไม่เหมือนกัน เช่น ไมเกรน อาจจะปวดไม่เกิน 3 วันต่อครั้ง แล้วก็หาย แล้วก็ปวดใหม่ คลัสเตอร์ก็อาจจะไม่เกิน 3 ชั่วโมงต่อครั้ง แต่วันหนึ่งเป็นได้หลายรอบ ส่วนเทนชั่นก็อาจจะเป็นวันหรือเป็นสัปดาห์กว่าจะหาย

    ส่วนโรคกลุ่มอันตรายส่วนมาก ปวดแล้วจะไม่ค่อยหาย อาจจะทานยาพาราเซตามอลแล้วอาจจะดีขึ้นบ้าง แต่ไม่หายสนิท แล้วถ้าอาการพวกที่เป็นก้อน จะค่อยๆ ปวดเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วถ้าเป็นพวกเลือดออกก็อย่างที่บอกไว้ จะมีลักษณะพิเศษ คือ เร็วแรง แล้วก็คงที่ หรือมากขึ้นแต่อาจจะไม่หาย หลังจากกินยาลดปวด

    สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยในการวินิจฉัย คนไข้อาจจะต้องสังเกตว่า ทำอะไรแล้วดีขึ้น หรือทำอะไรแล้วแย่ลง เช่น สำหรับไมเกรน ถ้านอนพักแล้วอาจจะดีขึ้น บางคนอาเจียนแล้วก็ดีขึ้น อันนี้ก็มีโอกาสเป็นไมเกรนมากกว่า เพราะว่ามันเป็นกระบวนการดำเนินของโรค พออาเจียนมันค่อนข้างจะใกล้จบรอบไมเกรนแล้ว หรือถ้านอนพัก การนอนที่ดี จะช่วยให้ไมเกรนหมดรอบเร็วขึ้น

    การดูแลตัวเองเบื้องต้น

    การดูแลตัวเองเบื้องต้นสิ่งที่อยากจะเน้น คือ ทบทวนอาการปวดหัวของตัวเองว่า เข้ากับโรคอันตรายหรือไม่ เพราะว่าอาจจะเป็นอาการนำก่อนที่จะเป็นโรคทางสมองก็ได้ ถ้าเรารีบรักษาเร็วก็มีโอกาสที่จะหายได้

    การให้หมอนวด นวดตรงคอ ต้องระวังดีๆ จริงๆ เวลาเราปวดกล้ามเนื้อหรือกระดูกคอ การนวดโดยเฉพาะการยืดกล้ามเนื้อช่วยได้ ช่วยให้ดีขึ้นได้ แต่บางวิธีไม่ถูกต้อง เช่น มีการบิดคอ อันนี้จะทำให้เกิดหลอดเลือดฉีกขาด ซึ่งค่อนข้างอันตราย

    อาการปวดหัวแบบไหนควรพบแพทย์ทันที

    • ปวดหัวเหมือนจะระเบิด ไม่เคยปวดแบบนี้มาก่อนในชีวิต บ่งบอกว่ามีความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว พบในภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองร่วมกับความดันโลหิตสูง
    • ปวดหัวรุนแรง ร่วมกับมีอาการแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกทันที บ่งบอกว่าเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ ที่เกิดจากเลือดออกในเนื้อสมอง
    • ปวดหัวรุนแรง ร่วมกับมีไข้ คอแข็ง ก้มคอไม่ได้ อาจจะมีอาการไม่เกิน 1 สัปดาห์ บ่งบอกว่า มีการติดเชื้อในเยื่อหุ้มสมอง
    • ปวดหัวรุนแรง มีไข้ ร่วมกับมีอาการชักเกร็งกระตุกทั้งตัว และซึมลง บ่งบอกว่ามีสมองอักเสบ
    อาการปวดหัวถึงแม้จะเกิดขึ้นได้บ่อยจนดูเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ควรละเลยที่จะสังเกตตัวเองว่ามีอาการปวดแบบไหน หากปวดแล้วกินยาบรรเทาหรือใช้วิธีในการดูแลตวเองเบื้องต้นแล้วไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของการปวดหัว และให้การรักษาอย่างทันท่วงที รวมทั้งผู้ที่มีอาการปวดหัวรุนแรงอย่างเฉียบพลัน ปวดหัวหลังประสบอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ คอแข็งเกร็ง ผื่นขึ้น ตาพร่า ร่างกายอ่อนแรง สับสน พูดไม่ชัด และชัก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

    ที่มา

     

    ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่  inetsynth.com

    สนับสนุนโดย  ufabet369

Economy

  • สหราชอาณาจักรเดินละเมอเข้าสู่วิกฤตการจัดหาอาหาร
    สหราชอาณาจักรเดินละเมอเข้าสู่วิกฤตการจัดหาอาหาร

    สหราชอาณาจักรเดินละเมอเข้าสู่วิกฤตการจัดหาอาหาร สหภาพเกษตรกรรมกล่าว

    สหราชอาณาจักรกำลัง “เดินละเมอ”เข้าสู่วิกฤตการณ์ด้านอาหารและรัฐบาลต้องเข้าช่วยเหลือเกษตรกร

    เข้าสู่วิกฤตการณ์ด้านอาหารและรัฐบาลต้องเข้าช่วยเหลือเกษตรกร สหภาพเกษตรกรแห่งชาติ (NFU) เตือน

    ผลผลิตของมะเขือเทศและพืชผลอื่นๆ มีแนวโน้มจะตกต่ำเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ โดยอาจเกิดปัญหาด้านอุปทานในอนาคตเช่นเดียวกับไข่

    ต้นทุนเชื้อเพลิง ปุ๋ย และอาหารสัตว์ที่พุ่งสูงขึ้นทำให้เกษตรกรตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างรุนแรง

    รัฐบาลกล่าวว่าสหราชอาณาจักรมี “ห่วงโซ่อุปทานอาหารที่มีความยืดหยุ่นสูง”

    ซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งกำลังขายไข่ปันส่วนหลังจากเกษตรกรลดหรือหยุดการผลิตเนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายลงจากการระบาดของไข้หวัดนก

    อย่างไรก็ตาม NFU เตือนว่าผู้ผลิตอาหารในพื้นที่อื่นกำลังเผชิญกับความยากลำบาก

    ผลผลิตของพืชที่ให้พลังงานสูง เช่น มะเขือเทศ แตงกวา และลูกแพร์ มีแนวโน้มจะแตะระดับต่ำสุดในปีนี้ นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกในปี 2528

    นอกจากนี้ยังกล่าวว่าราคานมมีแนวโน้มต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ขณะที่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อกำลังพิจารณาลดจำนวนวัวที่พวกเขาเพาะพันธุ์

    ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นต้องโทษด้วยราคาปุ๋ยสำหรับเกษตรกรเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าตั้งแต่ปี 2562 และต้นทุนอาหารสัตว์และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 75%

    ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น Brexit Red Tape และการขาดแคลนคนงานก็เป็นปัจจัยเช่นกัน

    Minette Batters ประธาน NFU กล่าวว่าอาหารอังกฤษ “อยู่ภายใต้การคุกคาม”

    โดยอนาคตของผักและผลไม้ของอังกฤษ “กำลังมีปัญหา”

    ราคาอาหารที่สูงอยู่แล้วจะสูงขึ้นอีกอย่างแน่นอนหากสินค้าเริ่มหาซื้อได้ยากขึ้น เธอบอกกับรายการ Today ของ BBC Radio 4

    “นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหาร และหากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น เราจะยังคงเห็นความขัดแย้งมากขึ้นในการผลิตของเรา การพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้น และความพร้อมจำหน่ายสินค้าจะไม่อยู่ที่นั่น” เธอกล่าว

    “เราเลี้ยงตัวเองด้วยไข่ – เป็นเรื่องราวความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ – และตอนนี้เรามีไข่น้อยกว่าปีที่แล้ว 320 ล้านฟองในช่วงเวลาเดียวกัน”

    แต่ Andrew Opie ผู้อำนวยการฝ่ายอาหารและความยั่งยืนของ British Retail Consortium กล่าวว่าผู้ค้าปลีกคุ้นเคยกับการจัดการแรงกดดันทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทานของตน

    “ซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นผู้จัดหา และจะยังคงจัดหาอาหารส่วนใหญ่ของพวกเขาจากสหราชอาณาจักรต่อไป และรู้ว่าพวกเขาจำเป็นต้องจ่ายในราคาที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกร” เขากล่าว แม้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

    สหราชอาณาจักรเดินละเมอเข้าสู่วิกฤตการจัดหาอาหาร ผู้ซื้อได้รับแรงกดดันจากการขึ้นราคาอาหารอย่างรวดเร็ว

    แม้ว่าจะมีสัญญาณว่าสิ่งนี้อาจเริ่มคลี่คลายลง ตามรายงานของ Kantar บริษัทวิเคราะห์ตลาด

    แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อราคาอาหารในช่วงสี่สัปดาห์ถึงวันที่ 27 พฤศจิกายนอยู่ที่ 14.6% ซึ่งลดลง 0.1% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนตุลาคม

    นี่เป็นครั้งแรกที่อัตราเงินเฟ้อราคาอาหารชะลอตัวในรอบสองปี

    ความท้าทายด้านต้นทุน
    สงครามในยูเครนและการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาทำให้ราคาอาหาร พลังงาน และเชื้อเพลิงพุ่งสูงขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ

    ราคาร้านขายของชำเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบ 45 ปีในปีจนถึงเดือนตุลาคม ตัวเลขอย่างเป็นทางการแสดงให้เห็น โดยต้นทุนของวัตถุดิบหลัก เช่น นม ชีส และไข่พุ่งสูงขึ้น

    Steve Dresser หัวหน้า Grocery Insight กล่าวกับ BBC ว่าความท้าทายครั้งใหญ่มาจากความอยากอาหารของผู้บริโภค

    “ลูกค้าให้ความสำคัญกับการประหยัดเงิน และโดยทั่วไปแล้วอาหารท้องถิ่นจะมีราคาสูงกว่า ซึ่งอาจเป็นเรื่องยาก” เขากล่าว

    เขากล่าวว่าราคาที่สูงขึ้นหมายถึงการทำฟาร์ม “ได้รับความเสียหายอย่างแท้จริงในปีนี้”

    เขากล่าวต่อไปว่า: “ความมั่นคงด้านอาหารมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังที่เราเห็นในช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์และในช่วงเวลาหลังจากนั้นซึ่งนำไปสู่ชั้นวางที่ว่างเปล่า

    “เห็นได้ชัดว่าเราเผชิญกับความท้าทายที่แท้จริงในห่วงโซ่อุปทานของเรา และในฐานะประเทศ เราควรมองหาการสนับสนุนชุมชนเกษตรกรรมของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Brexit ทำให้การนำเข้าอาหารยากขึ้น”

    NFU เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร

    ที่ถูกไล่ออกจากธุรกิจ โดยกล่าวว่าปัจจุบันมีบริษัทเกษตรที่จดทะเบียนในสหราชอาณาจักรน้อยกว่าปี 2019 ถึง 7,000 แห่ง

    และต้องการให้รัฐมนตรีพิจารณาให้การสนับสนุนในกรณีฉุกเฉินแก่ผู้ผลิตไข่ เนื่องจากผู้บริโภคและเกษตรกรเห็นการหยุดชะงักเมื่อเร็วๆ นี้

    NFU กล่าวว่ารัฐบาลควรเพิ่มขีดจำกัดแรงงานนอกฤดูตามฤดูกาลเพื่อจัดการกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานและกำหนดเป้าหมาย “ความมั่นคงทางอาหาร” ใหม่เพื่อให้แน่ใจว่ามีอาหารเพียงพอที่ผลิตในประเทศ

    โฆษกของ Defra กล่าวว่า “ความมั่นคงทางอาหารในระดับสูงของเราสร้างขึ้นจากการจัดหาจากแหล่งที่หลากหลาย การผลิตในประเทศที่แข็งแกร่ง ตลอดจนการนำเข้าผ่านเส้นทางการค้าที่มั่นคง”

    เขาเสริมว่ารัฐบาลติดต่อกับเกษตรกรอย่างสม่ำเสมอ และรัฐมนตรีอาหารและการเกษตรจะพบกับธุรกิจในอุตสาหกรรมไข่ในวันอังคาร

    เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจในเว็บของเรา

    รอบชิงชนะเลิศ NBA ที่เข้มข้นที่สุดในประวัติศาสตร์

    “ฟูจิฟิล์ม” จัดมินิ มาราธอน การกุศล

    5 เหตุผลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจ จีน กำลังแย่

    คาลิดู คูลิบาลี ย้ายเชลซีเข้าร่วมลีกซาอุดีอาระเบีย

    ฮาแลนด์, วินิซิอุส, เอ็มบัปเป้ ใครจะคว้าบัลลงดอร์ปี 2024?

    ขอบคุณรูปภาพจาก pexels.com

    แหล่งที่มา https://www.bbc.com/news/business

    สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่  inetsynth.com